วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

เสริมหน้าอก สำหรับความสวยงามของทรวงอกและความมั่นใจ




การเสริมหน้าอก ปัจจุบันการเป็นการเพื่อเติมขนาดของหน้าอก ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างมาก
เนื่องด้วยมีผลข้างเคียงหลังทำนิดหน่อย โดยคนไข้จะได้การพูดคุยและปรึกษากับแพทย์
ทางด้านศัลยกรรมตกแต่งเสียก่อน เพื่อให้รับทราบรายละเอียดและกระบวนการเกี่ยวกับการผ่าตัดเสริมหน้าอก

การที่เราจะเลือกชนิดของถุงนมเทียมหรือที่เรียกว่า ถุงซิลิโคน นั่นเอง
ธรรมดาแล้วถุงซิลิโคนในปัจจุบันจะมีด้วยกัน 2 ชนิด คือ

1. ชนิดที่บรรจุด้วยน้ำเกลือ
เมื่อแกะกล่องใส่ถุงซิลิโคนออกมา ก็จะเห็นเป็นถุงเปล่า ๆ ซึ่งจะไม่มีอะไรอยู่ข้างในเลย
แต่มีจุ๊บเล็ก ๆ สำหรับการสูบฉีดน้ำเกลือใส่เข้าไปข้างใน ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของแพทย์
ที่จะต้องทำการฉีดน้ำเกลือบริสุทธิ์ เข้าในถุงเปล่าซิลิโคนให้เต็มตามขนาดที่คนไข้ได้เลือกไว้

2. ชนิดที่บรรจุด้วยซิลิโคนเจล
ตัวถุงซิลิโคนกับสารที่บรรจุอยู่ข้างใน เป็นถุงซิลิโคนที่ใส่เสร็จจากโรงงาน ซึ่งผ่านการฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว เมื่อเอาออกมาจากบรรจุภัณท์แล้ว สามารถใส่ได้เลยตามขนาดที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ซึ่งทางผู้ผลิตก็จะผลิตออกมาหลาย ๆ ขนาดตั้งแต่เล็กไปถึงขนาดใหญ่หลายร้อยซีซี

ข้อแตกต่างระหว่างถุงซิลิโคนเสริมหน้าอกทั้ง 2 ชนิด คือ
ถุงซิลิโคนเสริมหน้าอก ชนิดบรรจุด้วยน้ำเกลือ ซึ่งจะมีความนุ่มเหลวยิ่งกว่าถุงซิลิโคนแบบเจล อยู่บ้างพอสมควร แต่ล่าสุดในวงการศัลยกรรมตกแต่ง จะนิยมใช้ถุงซิลิโคนที่บรรจุด้วยซิลิโคนเจลสำเร็จรูปมากกว่า ก็เพราะว่าเนื่องจากมีความแข็งแรง และหลังทำการผ่าตัดเสริมหน้าอกไปแล้ว จะมองเป็นธรรมชาติมากกว่า หรือไม่บางท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า การเสริมหน้าอกนั้นจะทำให้ เกิดมะเร็งเต้านม ได้ โดยทาง องค์การอาหารและยาของอเมริกา ได้ทำชี้แจงออกมาแล้วว่า การเสริมหน้าอกไม่มี ความเกี่ยวข้องกับ การเกิดมะเร็งเต้านม แต่อย่างใด

กรรมวิธีผ่าตัดเสริมหน้าอก
การผ่าตัดเสริมหน้าอก นั้น ส่วนใหญ่แพทย์จะทำการผ่าตัดโดยดมยาสลบคนไข้
เพื่อให้สะดวกในการผ่าตัด หลังจากนั้นแพทย์จะผ่าตัดเปิดแผลที่ใต้รักแร้ ปานนม
หรือใต้ราวนม แล้วแต่ว่าจะตกลงกับคนไข้ว่าเช่นใด แต่ส่วนใหญ่นิยมผ่าตัดเข้าทางรักแร้มากที่สุด เพราะสามารถหลีกเลี่ยงแผลบนเนินอกได้ดีกว่า ถัดจากนั้นแพทย์ก็จะทำการแหวกเนื้อเต้านม และกล้ามเนื้อแผงอกให้แยกออกจากกัน เพื่อจะให้เป็นช่องว่างขนาดพอเหมาะ ที่จะใส่ถุงซิลิโคนที่เลือกเอาไว้ได้เหมาะสม ซึ่งเมื่อห้ามเลือดดีแล้ว แพทย์จึงจะค่อย ๆใส่ถุงซิลิโคนเข้าทีละน้อยจนหมด
เมื่อจัดรูปทรงของซิลิโคนเข้าที่แล้ว แพทย์จึงเย็บแผลปิดด้วยไหมเส้นเล็ก ๆ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
สำหรับบางท่านที่มีเนื้อหน้าอกค่อนข้างบาง แพทย์อาจจะเสริมหน้าอกโดยการวางซิลิโคน
ไว้ใต้กล้ามเนื้อแผงอก สำหรับจะได้มีเนื้อที่คลุมถุงซิลิโคนเพิ่มอีกชั้นหนึ่งเป็นสองชั้นก็ได้

วิธีดูแลตัวเองหลังผ่าตัด และผลอาการข้างเคียงหลังทำ

1. ภายหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกคนไข้จะได้พักฟื้นที่โรงพยาบาล 1 คืน สำหรับดูอาการหลังทำ
โดยคนไข้จะได้รับยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยานอนหลับ หรือตามคำเสนอแนะของแพทย์
ซึ่งหลังจากผ่าตัด ส่วนใหญ่คนไข้จะมีอาการปวดระบมบริเวณหน้าอก และบริเวณรักแร้ทั้ง 2 ข้าง
ประมาณ 2-3 วันหลังผ่าตัดแล้วเสร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลายกแขนหลัง 3 วันไปแล้ว อาการปวดก็จะน้อยลง

2. เนื่องด้วยในขณะผ่าตัด คนไข้จะต้องดมยาสลบและต้องใส่ท่อเพื่อช่วยการหายใจ 
โดยเหตุนั้นหลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว คนไข้อาจจะมีอาการเจ็บคอบ้าง รวมไปถึงอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ โดยทั่ว ๆ ไปแล้วอาการคลื่นไส้อาเจียน จะดีขึ้นเป็นปกติเมื่อได้รับยาระงับอาการอาเจียน
ส่วนเรื่องอาการเจ็บคอ ก็จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน

3. ในวันแรกหลังจากผ่าตัด แพทย์จะเอาสายระบายน้ำเหลืองออก และแกะผ้าพันหน้าอกออกให้
และพันกลับไปใหม่ในลักษณะอย่างเดิม บางท่านถ้าผ้ารัดหลุดหรือร่นลงมา แพทย์จะให้เปลี่ยน
ใส่ชุดชั้นในที่เป็นแบบสปอร์ตบรา หรือชุดชั้นในแบบไม่มีโครง และที่สำคัญควรใส่ทั้งกลางวัน
และกลางคืน ในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากการผ่าตัดเสริมหน้าอก

4. ต่อไป แพทย์จะสอนเทคนิคการนวดหน้าอกให้คนไข้ทราบ โดยแนะนำให้คนไข้เริ่มนวดหน้าอก
ในวันที่ 4 หรือ 5 ภายหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก โดยให้นวดทุก ๆ 2 - 3 ชั่วโมง โดยวันละโดยประมาณ 2 - 3 ครั้ง ระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ และหลังจากนั้นก็ให้นวดเพียงวันละ 1 - 2 ครั้งก็พอ
และต้องทำอย่างติดต่อ อย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อที่จะให้หน้าอกนั้นดูสวยงามยิ่งขึ้น
และสามารถใส่ชุดชั้นในได้ตามปกติ ถ้าการนวดหน้าอกทำได้ดีเป็นปกติ แต่ทว่าไม่แนะนำให้ใส่แบบมีโครง ในช่วง 1 เดือนแรกภายหลังผ่าตัด แต่ถ้ายังนวดได้ไม่ดีพอ ก็ไม่ควรที่จะใส่ยกทรงที่รัดแน่นเกินไปด้วย

5. ส่วนหน้าอกที่เสริมไปแล้วนั้น จะยุบลงและมองดูสวยประมาณ 1 เดือนหลังจากทำ
และจะเข้าที่ก็ประมาณ 3 - 6 เดือนหลังทำ แต่โดยเฉพาะใน 3 เดือนแรกอาจมีอาการปวดเล็กน้อย
โดยเป็นเพียงบางตำแหน่ง ไม่ก็อาจมีเสียงเหมือนคล้ายลมหรือน้ำ เวลาที่กำลังนวดหน้าอก
หรืออาจจะรู้สึกชาได้บ้าง แถวหน้าอกหรือที่หัวนม โดยอาการเหล่านี้จะเป็นเพียงชั่วขณะ
และจะหายไปเองเป็นปรกติ

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

เสริมจมูก เพื่อทำให้ใบหน้าที่โดดเด่นและสวยงามดูน่าสนใจ




การเสริมจมูก หมายถึงการตกแต่งโครงสร้างของจมูกให้มองดูสูงขึ้น ทำให้โครงสร้างจมูกมีรูปร่างที่สวยงามขึ้น การผ่าตัดเสริมจมูก มีทำกันมายาวนานหลายสิบปีแล้ว

จมูก เป็นอวัยวะที่สำคัญบนใบหน้า เพราะเป็นจุดหลักที่สุด
การมีจมูกที่งดงามได้สัดส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสูงโด่งที่กำลังดี
และการมีปีกจมูกที่คู่ควรกับบริเวณสันจมูก จะเติมให้ความสวยงามให้ใบหน้าดีสมส่วน
ซึ่งคนเอเชียส่วนมาก จมูกไม่โด่งทัดเทียมกับคนตะวันตก การเสริมจมูกและการตัดปีกจมูก
ให้ได้รูปร่างในคนเอเชีย จึงเป็นการผ่าตัดที่นิยมมากที่สุดอย่างหนึ่ง
ในบรรดาการผ่าตัดศัลยกรรมความงาม

วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกมีหลายชนิด จำแนกง่าย ๆ คือ
1.จากร่างกายของผู้รับการผ่าตัด เช่นว่า เสริมจมูกด้วยกระดูก เสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อน ฯลฯ
วิธีนี้ส่วนมากจะใช้เสริมจมูกคนไข้ที่มีจมูกเสียทรง เหตุเพราะอุบัติเหตุหรือว่าแก้ไขความพิการจากสาเหตุต่าง ๆ
เช่นว่า เนื้องอก ความพิเการแต่กำเนิด เป็นต้น ซึ่งไม่เหมาะเพื่อการผ่าตัดเสริมจมูก เพื่อความงามสำหรับบุคคลทั่วไป
2.วัสดุสังเคราะห์ ตัวอย่างเช่น ซิลิโคนแท่ง ที่ใช้ในวงการแพทย์กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีความไม่เป็นอันตราย และสามารถอยู่ในร่างกายมนุษย์ได้ตลอดโดยไม่เป็นอันตราย เพราะว่าร่างกายสามารถรับและห่อหุ้มแท่งซิลิโคนให้ยึดอยู่กับเนื้อเยื่อได้ดี

เรื่องคนไข้ที่มีปีกจมูกที่กว้าง
คุณหมออาจแนะนำให้คนไข้ตัดปีกจมูกควบคู่ไปในเวลาเดียวกัน เพื่อความสวยที่ดูสะดุดตายิ่งขึ้นของใบหน้า

ขั้นตอนการผ่าตัดเสริมจมูก
การผ่าตัดเสริมจมูก เป็นการผ่าตัดที่ไม่ซับซ้อนนักและใช้เวลาไม่นานคร่าวๆ 45 นาทีก็เสร็จ
ซึ่งคุณหมอจะให้ยานอนหลับที่มีฤทธิ์สั้น ๆ เพราะว่าให้คนไข้นอนหลับ และลดอาการกลัวของคนไข้
จากนั้นแพทย์จะทำการฉีดยาชารอบจมูกเพื่อให้ให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บขณะผ่าตัด
ต่อจากนั้นเมื่อมีการวัดจมูกเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะนำแท่งซิลิโคนซึ่งได้ตกแต่งและทำรูปร่างให้เข้ากับโครงจมูกของคนไข้แล้วมาใส่ที่สันจมูก
โดยแผลผ่าตัดจะมีความยาวราว ๆ 1 ซม. บริเวณขอบรูจมูกด้านใดด้านหนึ่งของคนไข้
หลังจากนั้นจะมีการผ่าตัดสร้างช่องว่างที่สันจมูกใต้เยื่อหุ้มกระดูกจมูก ให้สามารถใส่แท่งซิลิโคนที่เตรียมไว้ได้
เมื่อใส่เข้าไปแล้วคุณหมอจะทำการตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนจะเย็บปิดแผลโดยประมาณ 3 เข็มด้วยไหมละลาย ปิดพลาสเตอร์หรือเฝือกจมูก เพื่อช่วยป้องกันตัวจมูกและลดอาการบวมเป็นอันเรีบบร้อยทั้งนี้การใช้พลาสเตอร์หรือเฝือกจมูกขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์แต่ละท่าน

ขั้นตอนการตัดปีกจมูก
แพทย์จะกำหนดขนาดของปีกและรูจมูกให้เข้ารูปเข้ากับโครงหน้าและฐานจมูกของคนไข้เป็นสำคัญ
โดยคุณหมอจะทำการตัดเนื้อเยื่อส่วนเกินออก และจัดฐานปีกจมูกรวมทั้งกำหนดความกว้างของรูจมูกอีกครั้งก่อนที่จะเย็บปิดแผลด้วยไหมเส้นเล็ก ๆ บริเวณข้างปีกจมูกทั้ง 2 ข้าง

วิธีดูแลหลังการเสริมจมูกและตัดปีกจมูก
1. ประคบผ้าเย็นราวๆ 24-48 ชม.ต่อจากนั้นถ้ามีรอยฟกช้ำให้ใช้น้ำอุ่นประคบสลับกับน้ำเย็น
2. นอนศีรษะสูง หนุนหมอนโดยประมาณ 2-3 ใบ
3. จมูกจะบวมราว 2-3 วัน ในวันที่ 4 ก็จะเริ่มยุบ
4. ทานอาหารตามเป็นปกติ ละเว้นอาหารรสจัดและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และบุหรี่ในช่วง 2 อาทิตย์แรก
5. พลาสเตอร์ที่ปิดแผลไว้ อาจจะแกะออกได้ในวันที่ 3
6. รับประทานยาตามแพทย์สั่ง